ผมเลยไปหาหมอ ได้ข้อสรุปว่า ผมสายตาสั้นครับ!!!!
ผมจึงเยียวยาอาการสายตาสั้นโดย การหากรอบพลาสติกที่มีแผ่นแก้วบางๆยัดอยู่ในห่วงสองห่วง ที่มีขาสองขาเหยียดยื่นเป็นคู่ขนาน และปลายเท้าทั้งสองของเจ้าหล่อนงอนเรียวเอาไว้เกี่ยวหู หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า แว่นตา นั่นเองครับ
ผมจึงไปร้านแว่นเพื่อตัดแว่นครับ
ร้านแว่นทั่วๆไป ก็จะมีสาวๆขาวๆสวยๆหุ่นดีๆแต่งตัวรัดๆนิดๆ อิๆ หรือที่ผมเรียกว่า พริตตี้แว่น ซึ่งหน้าที่หลักของเค้าจะคอยบริการเราต่างๆ ตั้งแต่เสิร์ฟน้ำ วัดสายตา และหน้าที่สำคัญคือ การเชียร์แว่น ซึ่งคล้ายๆกับสาวเชียร์เบียร์แหละครับ
โดยปกติแล้ว การเชียร์แว่นนั้น ก็จะมีโปรโมชั่นที่ยั่วยวยใจเหล่านักซื้อกันอยู่ทั้งปี แตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น มาสองจ่ายหนึ่ง(มาตัดแว่นกับแฟนสองคนแต่ผมจ่ายคนเดียว) หรือลด 99% ทั้งร้าน(ผมดันไปเลือก 1 % ที่เหลือ เฮ้อออ) ซึ่งผมโชคดีมากครับจึงได้รับสมนาคุณทั้งสองโปรโมชั่นข้างต้น
ครั้งแรกที่ผมตัดแว่นนั้น ผมอยู่เมืองหลวงศิวิไลซ์ ร้านแว่นที่ผมเข้าก็ศิวิไลซ์ กรอบแว่นตาก็ศิวิไลซ์ ส่วนราคาที่ซื้อก็ศิวิไลซ์เช่นกัน เกือบหมื่น T_T
ตอนเลือกเราก็คิดว่าเลือกมาดีแล้ว หล่อแล้ว เท่แล้ว เข้ากับรูปร่างหน้าตา และทรงผมแล้ว แต่พอมาใส่จริงวันแรก ใส่ได้ไม่ถึงห้านาทีครับ ต้องถอดและเก็บเข้ากล่อง เพราะแว่นมันแคบและบีบหัวผมจนปวดหัวหนักกว่าตอนไม่ใส่แว่นอีก
ตอนนั้นในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรแว่นเราศิวิไลซ์ยังไงก็เอาไปให้ร้านแก้ไขให้ได้แน่ๆ
พอมาถึงร้าน พริตตี้แว่นคนสวยก็บอกว่า รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษค่ะ แก้ไขกรอบแว่นไม่ได้ค่ะ
เสียงหวานเชือกเฉือนไปถึงหัวใจ สายตาที่มัวหมอง กับชัดแจ่มขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ เมื่อมองไปในใบเสร็จรับเงินที่ได้รับมาตอนเราซื้อแว่น เกือบหมื่น T_T
หลังจากนั้นแว่นตาอันแรกของผมก็เก็บไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความศิวิไลซ์และไม่ได้ใช้อีกเลย
จนเมื่อผมต้องมาเริ่มชีวิตทำงานที่ใหม่
ผมต้องใช้คอมพิวเตอร์บ่อยขึ้นและเมื่อผมมองหน้าจอคอมบ่อยๆภาพมันก็เบลอเยอะขึ้น ปวดหัวมากขึ้น ผมจึงตัดสินใจเข้าร้านตัดแว่น เพื่อหา พริตตี้แว่น เชียร์แว่นโดยมีโปรโมชั่นดีๆ เป็นตัวยั่วยวนให้ผมซื้อแว่นใหม่อีกครั้ง
คราวนี้รา้นที่ผมเข้าไม่ได้ศิวิไลซ์เหมือนครั้งแรก แต่เป็นร้านเล็กๆ เหมือนร้านแนวครอบครัว ทางเดินระหว่างร้าก็จะมีลูกเจ้าของร้านนอนอยู่ ใช่ครับลูกเจ้าของร้านจริงๆ และเค้าดันนอนขวางตรงที่วางกรอบแว่นที่ผมจะเลือกพอดี
ผมเลยสะกิดน้องเค้าด้วยปลายเท้า เพื่อให้น้องเค้าตื่นและหลีกทางให้ผม นั่นแค่ในความคิดครับ
ส่วนความจริงผมบอกเจ้าของร้านซึ่งอยู่ใกล้ๆน้องเค้าว่าจะขอดูกรอบแว่นตรงนี้แต่น้องเค้านอนขวางอยู่ครับ เจ้าของร้านจึงตะโกนเรียกเมียเจ้าของร้านที่อยู่หลังบ้านมาให้อุ้มลูกออกไป แมนมากครับพี่
ครั้งนี้ผมได้แว่นที่สบายใจ ใส่สบายตา ไม่คับตอนสวมใส่สบายหัว และราคาที่สบายๆ สองพันกว่าบาท
จนล่วงเลยมาประมาณหนึ่งปี
วันนั้นเอาแว่นตาใส่กระเป๋ากางเกงและเดินออกมาจากห้องน้ำที่ประตูจะมีกลไกอัตโนมัติปิดได้เอง
แกร็ก...เสียงอะไรดังเหมือนมาจากกระเป๋ากางเกง
พอผมก้มลงไปดูเท่านั้นแหละครับ ขาเรียวๆสวยๆข้างหนึ่งของน้องแว่นที่ผมรัก หลุดลงไปกองอยู่กับพื้นห้องน้ำซะแล้ว เพราะโดนประตูอัตโนมัติเกี่ยว
นี่ผมจะต้องตัดแว่นใหม่อีกแล้วหรือนี่
ผมเลยถามเพื่อนๆผู้มีประสบการณ์ด้านแว่นวิทยา ที่ชำนาญ เชี่ยวชาญและอยู่ในวงการนี้มานานกว่าผม จึงได้เคล็ดลับว่า ลองไปหาขาแว่นมาเปลี่ยนสิทำได้นะ
ปกติที่โคนขาแว่นจะมีสกรูตัวเล็กๆที่ต้องใช้ที่ขันสกรูตัวเล็กกว่า เป็นตัวยึดขาให้ติดกับลำตัวของแว่น หากขาแว่นที่ขนาดใกล้เคียงกันก็สามารถใส่แทนกันได้
ผมจึงออกตระเวนไปในท้องตลาดท้องถิ่นแถวบ้าน เพื่อตระเวนหาขาแว่นใหม่มาแทนขาเดิมที่ขาดอย่างไม่มีเยื่อไยอันดีแก่กัน โดยผมพกที่ขันสกรูตัวเล็กกว่ามาด้วยเพื่อจะได้ลองเปลี่ยนขาที่ได้พบที่ร้านเลย
ทว่าเช้ายันเย็นก็ไม่มีขาไหนที่เข้ากันได้เลย
จนมาถึงร้านพี่สาวคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็น พริตตี้แว่น แต่อย่างใด แกมองเห็นผมแกะขาแว่นมาลองหลายๆอันแล้วก็ไม่เข้ากันได้สักที แกจึงบอกผมเชิงเวทนาว่า ทำไมไม่ลองหากรอบที่เอาเลนส์เดิมใส่ได้ล่ะน้อง พร้อมยื่นมือมาเอากรอบแว่นที่ขาหักของผมไปแล้วถอดเลนส์ใสๆออกมายัดเข้าไปในกรอบอันใหม่โดยใช้เวลาไม่เกินหนึ่งนาที
ผมนิ่งและอึ้งไปพักนึง พร้อมสบถในใจ ทำไมเราคิดไม่ได้ว่ะ เรื่องฉลาดๆอย่างนี้
สุดท้าย ผมได้กรอบแว่นใหม่พร้อมเลนส์อันเดิมสมใจซึ่งทำให้สายตาของผมกลับมามองโลกชัดเจนอีกครั้ง ในราคาสดใสแค่ สองร้อยบาท