วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เลนส์เก่าในกรอบแว่นใหม่


ผมเริ่มมองกระดานที่อาจารย์สอนไม่ชัด เริ่มปวดตา เริ่มปวดหัว เริ่มอ่านหนังสือไม่ค่อยเห็น ผมจะเป็นอะไรร้ายแรงมั้ยเนี่ย??

ผมเลยไปหาหมอ ได้ข้อสรุปว่า ผมสายตาสั้นครับ!!!!

ผมจึงเยียวยาอาการสายตาสั้นโดย การหากรอบพลาสติกที่มีแผ่นแก้วบางๆยัดอยู่ในห่วงสองห่วง ที่มีขาสองขาเหยียดยื่นเป็นคู่ขนาน และปลายเท้าทั้งสองของเจ้าหล่อนงอนเรียวเอาไว้เกี่ยวหู หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า แว่นตา นั่นเองครับ

ผมจึงไปร้านแว่นเพื่อตัดแว่นครับ 

ร้านแว่นทั่วๆไป ก็จะมีสาวๆขาวๆสวยๆหุ่นดีๆแต่งตัวรัดๆนิดๆ อิๆ หรือที่ผมเรียกว่า พริตตี้แว่น ซึ่งหน้าที่หลักของเค้าจะคอยบริการเราต่างๆ ตั้งแต่เสิร์ฟน้ำ วัดสายตา และหน้าที่สำคัญคือ การเชียร์แว่น ซึ่งคล้ายๆกับสาวเชียร์เบียร์แหละครับ 

โดยปกติแล้ว การเชียร์แว่นนั้น ก็จะมีโปรโมชั่นที่ยั่วยวยใจเหล่านักซื้อกันอยู่ทั้งปี แตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น มาสองจ่ายหนึ่ง(มาตัดแว่นกับแฟนสองคนแต่ผมจ่ายคนเดียว) หรือลด 99% ทั้งร้าน(ผมดันไปเลือก 1 % ที่เหลือ เฮ้อออ) ซึ่งผมโชคดีมากครับจึงได้รับสมนาคุณทั้งสองโปรโมชั่นข้างต้น

ครั้งแรกที่ผมตัดแว่นนั้น ผมอยู่เมืองหลวงศิวิไลซ์ ร้านแว่นที่ผมเข้าก็ศิวิไลซ์ กรอบแว่นตาก็ศิวิไลซ์ ส่วนราคาที่ซื้อก็ศิวิไลซ์เช่นกัน เกือบหมื่น T_T

ตอนเลือกเราก็คิดว่าเลือกมาดีแล้ว หล่อแล้ว เท่แล้ว เข้ากับรูปร่างหน้าตา และทรงผมแล้ว แต่พอมาใส่จริงวันแรก ใส่ได้ไม่ถึงห้านาทีครับ ต้องถอดและเก็บเข้ากล่อง เพราะแว่นมันแคบและบีบหัวผมจนปวดหัวหนักกว่าตอนไม่ใส่แว่นอีก

ตอนนั้นในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรแว่นเราศิวิไลซ์ยังไงก็เอาไปให้ร้านแก้ไขให้ได้แน่ๆ 

พอมาถึงร้าน พริตตี้แว่นคนสวยก็บอกว่า รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษค่ะ แก้ไขกรอบแว่นไม่ได้ค่ะ

เสียงหวานเชือกเฉือนไปถึงหัวใจ สายตาที่มัวหมอง กับชัดแจ่มขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ เมื่อมองไปในใบเสร็จรับเงินที่ได้รับมาตอนเราซื้อแว่น เกือบหมื่น T_T

หลังจากนั้นแว่นตาอันแรกของผมก็เก็บไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความศิวิไลซ์และไม่ได้ใช้อีกเลย

จนเมื่อผมต้องมาเริ่มชีวิตทำงานที่ใหม่

ผมต้องใช้คอมพิวเตอร์บ่อยขึ้นและเมื่อผมมองหน้าจอคอมบ่อยๆภาพมันก็เบลอเยอะขึ้น ปวดหัวมากขึ้น ผมจึงตัดสินใจเข้าร้านตัดแว่น เพื่อหา พริตตี้แว่น เชียร์แว่นโดยมีโปรโมชั่นดีๆ เป็นตัวยั่วยวนให้ผมซื้อแว่นใหม่อีกครั้ง

คราวนี้รา้นที่ผมเข้าไม่ได้ศิวิไลซ์เหมือนครั้งแรก แต่เป็นร้านเล็กๆ เหมือนร้านแนวครอบครัว ทางเดินระหว่างร้าก็จะมีลูกเจ้าของร้านนอนอยู่ ใช่ครับลูกเจ้าของร้านจริงๆ และเค้าดันนอนขวางตรงที่วางกรอบแว่นที่ผมจะเลือกพอดี

ผมเลยสะกิดน้องเค้าด้วยปลายเท้า เพื่อให้น้องเค้าตื่นและหลีกทางให้ผม นั่นแค่ในความคิดครับ

ส่วนความจริงผมบอกเจ้าของร้านซึ่งอยู่ใกล้ๆน้องเค้าว่าจะขอดูกรอบแว่นตรงนี้แต่น้องเค้านอนขวางอยู่ครับ เจ้าของร้านจึงตะโกนเรียกเมียเจ้าของร้านที่อยู่หลังบ้านมาให้อุ้มลูกออกไป แมนมากครับพี่

ครั้งนี้ผมได้แว่นที่สบายใจ ใส่สบายตา ไม่คับตอนสวมใส่สบายหัว และราคาที่สบายๆ สองพันกว่าบาท

จนล่วงเลยมาประมาณหนึ่งปี

วันนั้นเอาแว่นตาใส่กระเป๋ากางเกงและเดินออกมาจากห้องน้ำที่ประตูจะมีกลไกอัตโนมัติปิดได้เอง

แกร็ก...เสียงอะไรดังเหมือนมาจากกระเป๋ากางเกง

พอผมก้มลงไปดูเท่านั้นแหละครับ ขาเรียวๆสวยๆข้างหนึ่งของน้องแว่นที่ผมรัก หลุดลงไปกองอยู่กับพื้นห้องน้ำซะแล้ว เพราะโดนประตูอัตโนมัติเกี่ยว

นี่ผมจะต้องตัดแว่นใหม่อีกแล้วหรือนี่

ผมเลยถามเพื่อนๆผู้มีประสบการณ์ด้านแว่นวิทยา ที่ชำนาญ เชี่ยวชาญและอยู่ในวงการนี้มานานกว่าผม จึงได้เคล็ดลับว่า ลองไปหาขาแว่นมาเปลี่ยนสิทำได้นะ

ปกติที่โคนขาแว่นจะมีสกรูตัวเล็กๆที่ต้องใช้ที่ขันสกรูตัวเล็กกว่า เป็นตัวยึดขาให้ติดกับลำตัวของแว่น หากขาแว่นที่ขนาดใกล้เคียงกันก็สามารถใส่แทนกันได้

ผมจึงออกตระเวนไปในท้องตลาดท้องถิ่นแถวบ้าน เพื่อตระเวนหาขาแว่นใหม่มาแทนขาเดิมที่ขาดอย่างไม่มีเยื่อไยอันดีแก่กัน โดยผมพกที่ขันสกรูตัวเล็กกว่ามาด้วยเพื่อจะได้ลองเปลี่ยนขาที่ได้พบที่ร้านเลย
ทว่าเช้ายันเย็นก็ไม่มีขาไหนที่เข้ากันได้เลย 

จนมาถึงร้านพี่สาวคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็น พริตตี้แว่น แต่อย่างใด แกมองเห็นผมแกะขาแว่นมาลองหลายๆอันแล้วก็ไม่เข้ากันได้สักที แกจึงบอกผมเชิงเวทนาว่า ทำไมไม่ลองหากรอบที่เอาเลนส์เดิมใส่ได้ล่ะน้อง พร้อมยื่นมือมาเอากรอบแว่นที่ขาหักของผมไปแล้วถอดเลนส์ใสๆออกมายัดเข้าไปในกรอบอันใหม่โดยใช้เวลาไม่เกินหนึ่งนาที

ผมนิ่งและอึ้งไปพักนึง พร้อมสบถในใจ ทำไมเราคิดไม่ได้ว่ะ เรื่องฉลาดๆอย่างนี้

สุดท้าย ผมได้กรอบแว่นใหม่พร้อมเลนส์อันเดิมสมใจซึ่งทำให้สายตาของผมกลับมามองโลกชัดเจนอีกครั้ง ในราคาสดใสแค่ สองร้อยบาท 












วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประสบการณ์กับการใช้งานคอมพิวเตอร์ครั้งแรก


คุณยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ไหม????

ผมได้รู้จักกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรกเมื่อตอนเรียน ม.สามที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแถวชนบทในภาคใต้ของประเทศไทย

ตอนนั้นระบบปฏิบัติการก็ยังเป็นระบบหน้าต่างปีเก้าแปดอยู่เลย

ทั้งโรงเรียนของเราจะมีคอมพิวเตอร์ประมาณสิบเครื่องด้วยกัน แต่เด็กนักเรียนในห้องทั้งจะมีประมาณสามสิบกว่าคน ดังนั้นเราก็จะแบ่งกันเรียนรู้การใช้งานกันสามคนหรือสี่คนต่อหนึ่งเครื่อง

ในเทอมสองนั้นเองก็จะมีวิชาการใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ซึ่งเป็นวิชาเลือกเสรีที่บังคับให้เราเลือกเพราะไม่มีวิชาอื่นๆเปิดสอน เราทุกคนจึงได้เลือกอย่างเสรีที่จะเรียนวิชานี้

วิชาการใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นนับเป็นวิชาเปิดหูเปิดตาเปิดโลกกว้างให้กับเด็กชนบทอย่างพวกเราเป็นอย่างยิ่ง

ในคาบแรกก็จะมีการสอนให้ปิดเครื่องอย่างถูกต้อง ซึ่งนั้นก็ได้ทำให้เราตื่นเต้นกันพอสมควร เพราะเราเพิ่งได้ทราบว่าคอมพิวเตอร์นั้นมันได้แค่ใช้นิ้วหัวแม่เท้าเหยียดไปกดปุ่มปิดเหมือนกับตอนที่เรานอนดูโทรทัศน์ที่บ้าน แต่มันต้องอาศัยวิธีการพอสมควร 

เริ่มจากเราต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ตัวหนู (Mouse) ที่มีเท้าอยู่ใต้ท้องเป็นลูกกลิ้งของที่ทาจั๊กแร้ และต่อสายระโยงไปยังกล่องรูปทรงสี่เหลี่ยม(Case PC) ที่มีพัดลมตัวเล็กๆเป่าลมร้อนมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเพียงพอที่จะตากถุงเท้าให้แห้งได้ และตู้นี้ก็ยังเป็นเครื่องเล่นได้อีกด้วยเพราะมันสามารถแลบลิ้นออกมาได้เพียงแค่เรากดปุ่มเล็กๆ จากนั้นเราก็สามารถดันลิ้นมันกลับไปโดยไม่ต้องกดปุ่ม เราก็ทำให้มันแลบลิ้นเข้าๆออกๆ ซึ่งมันก็เพลินไปอีกแบบ 

ก่อนที่จะนอกเรื่องไปไกลขอกลับมาสู่ขั้นตอนการปิดเครื่องต่อดีกว่านะครับ จากนั้นเราจะพบว่าบนหน้าจอทีวี(Monitor) ที่ต่อสายระโยงมาจากกล่องแลบลิ้นอีกทีจะมีลูกศรตัวเล็กๆ(Cursor)โชว์อยู่ โดยเมื่อเราขยับตัวหนูนั้นลูกศรก็จะขยับไปตามมือเราไปด้วย

เราต้องใช้ความสามารถของกล้ามเนื้อแขนให้สัมพันธ์กับสายตาในการบังคับตำแหน่งลูกศรนั้น ไปยังมุมซ้ายด้านล่างของจอทีวีที่มีตัวอักษรที่เขียนว่า สตาร์ท(Start) ซึ่งแปลว่า เริ่มต้น นั่นทำให้ผมสับสนว่า ตกลงเราจะปิดมันเพื่อไปสู่จุดจบหรือว่าเราจะเริ่มต้นกันแน่เนี่ย 

แต่ในทันใดนั้นเมื่อเราใช้กำลังจากข้อนิ้วชี้ที่วางอยู่บนหัวหนูและกดลงไปให้หนูร้องดัง คลิก(Click) กลับทำให้เราสัจธรรมของคำว่า สตาร์ท ซึ่งในที่นี่ก็หมายถึงการเริ่มต้นไปสู่จุดจบนั้นเอง เพราะจะมีอักษรภาษาอังกฤษโชว์คำว่า ชัตดาวน์(Shut down) อยู่เหนือคำว่าสตาร์ท อะไรมันจะลึกซึ้งขนาดนี้

นั่นยังไม่เสร็จพิธีรีตรองนะครับ

เพราะเราต้องบังคับลูกศรไปตรงคำว่า ชัตดาวน์ และต้องออกแรงข่มหัวหนูให้ร้องอีกครั้ง

มันก็ยังมีคำถามเราต่ออีกว่า ตกลงคุณจะให้ผมทำอะไรกันแน่!!!(What do you want the computer to do?)

จะปิด(Shut down) หรือจะเริ่มต้นใหม่(Restart) หรือจะยืนข้างๆ(Stand by)

ผมนี่อารมณ์ขึ้นเลยครับ นี่ตกลงเจ้าคอมพิวเตอร์ เอ็งจะกวนตีนข้าใช่มั้ยนี่ 

ด้วยความที่โมโห ผมก็บังคับลูกศรให้เลือกไปยังช่องว่างกลมๆหน้าคำว่าปิดจนเป็นทะลุเป็นรูสีดำ มันยังกลับถามซ้ำเพื่อยียวนอารมณ์ผมอีกรอบว่า

นี่มึง จะตกลง(OK) หรือจะยกเลิก(Cancel) หรือจะให้กูช่วยเหลือ(Help)อะไรมั้ย!!!

ไม่ต้องช่วยผมแล้วครับ แค่นี้ผมก็ทราบซึ้งพอแล้ว ผมตกลงปิดครับ แล้วก็กดหัวหนูไปอีกครั้ง จนหนูหัวจวนจะยุบอยู่แล้ว

สุดท้าย เจ้าคอมพิวเตอร์ ก็ยอมจากพวกเราไปแถมส่งเสียงเย้าแหย่เหมือนหัวเราะเยาะเย้ยอีกหนึ่งครั้ง ราวกับจะบอกพวกเราว่า ถ้าคิดจะเล่นกับข้านะมันไม่ง่ายนะเว้ย

วันนั้นพวกเราทุกได้ผลัดกันเรียนรู้กันปิด เครื่องคอมพิวเตอร์ คนละสองถึงสามรอบ
นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ครั้งแรก






วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

5 เทคนิคที่ช่วยให้เรียนเก่งจนเป็นที่หนึ่งของห้อง



การเป็นคนเก่งนั้นว่ายากแล้ว แต่การเป็นคนเก่งที่สุดนั้นยากยิ่งกว่า เรามาศึกษา 5 เทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างง่ายๆ ซึ่งจะช่วยให้เราเรียนเก่งจนใครๆหลายคนตะลึง 

1.ตั้งเป้าหมายการเรียน
การที่เราจะเรียนเก่งนั้น สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือ เราจะเรียนเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร นำไปใช้ได้อย่างไรบ้าง เช่น เรียนเรื่องคณิตศาสตร์เพื่อช่วยให้เราคิดคำนวณรายการต่างๆในชีวิตประจำวันได้ เรียนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยให้เราหางานได้ง่ายและเปิดโลกทัศน์เรียนรู้สิ่งต่างๆได้เยอะขึ้น หรือเรียนสังคมศึกษาเพื่อช่วยให้เราเรียนรู้โลกได้กว้างขึ้น เป็นต้น ซึ่งการตั้งเป้าหมายนั้นจะทำให้สมองเราเชื่อมโยงกับเรื่องที่เรียนและจะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจเรื่องนั้นๆได้ดีขึ้น 

2.ศึกษาเนื้อหาก่อนที่จะเรียน
การศึกษาเนื้อหาที่จะเรียนก่อนนั้นจะช่วยให้เราเห็นปัญหาก่อนว่ามีสิ่งใดที่เรายังไม่เข้าใจ ซึ่งจะทำให้เรานั้นโฟกัสได้ถูกจุดและช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้จากห้องเรียนได้ และยังช่วยเสริมส่วนที่เราเข้าใจแล้วให้เข้าใจมากขึ้นไปอีก 

3.แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้
เมื่อเรียนรู้ไปแล้วหากพบว่ามีตรงไหนที่ยังสงสัยหรือไม่เข้าใจนั้น อย่าอายที่จะสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้ ซึ่งผู้รู้ในที่นี้อาจหมายถึง ครูบาอาจารย์หรือเพื่อนๆ เพราะการพูดคุยกันกับผู้รู้นั้นอาจช่วยให้เราพบแนวคิดใหม่ๆ หรือไอเดียดีๆที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้และทำให้เราเก่งขึ้นก็เป็นได้

4.สอนผู้อื่น
การสอนผู้อื่นนั้นจะช่วยให้เรามองเห็นตัวเองว่าเรารู้เรื่องนั้นๆดีพอหรือยัง บางทีเมื่อเราสอนคนอื่น เราอาจยังพบว่ามีบางเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจอย่างกระจ่าง ก็จะทำให้เรานำเรื่องนั้นๆมาทบทวนได้ทันเวลา 

5.ทำจิตใจให้สบาย
หลังจากเราเรียนรู้เทคนิคทั้งสี่ข้างต้นมาแล้ว เทคนิคสุดท้ายของการเรียนเก่งก็คือ การทำจิตใจให้สบาย ต้องไม่เครียดไปกับการเรียน เพราะเมื่อเรามีจิตใจที่สบายและสงบ เราย่อมเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นลองใช้วิธีนั่งสมาธิก่อนอ่านหนังสือสัก 5 นาที หรือฟังเพลงเบาๆก่อนเข้าคาบเรียน ซึ่งจะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีขึ้น 

สุดท้ายนี้ หากเราเรียนเก่งแล้วแต่ไม่มีใครคบเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดแต่จะเอาชนะผู้อื่นก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นอย่าลืมการแบ่งปันความรู้และมิตรภาพให้กับผู้อื่น เพราะสิ่งที่เราจะได้รับกลับมานั้นมันจะมีคุณค่ามากกว่าแค่การเรียนได้ที่หนึ่ง