วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ไอติมดับร้อน




ช่วงนี้อากาศร้อนนะครับ ร้อนจนอยากจะเล่นสาดน้ำสงเพราะรานต์กันทั้งเดือนเมษากันไปเลย (จะได้ดูโคโยตี้เต้นคลายร้อนกันฉ่ำไปเลย อิอิ)
พออากาศมันร้อน คนเราก็มีวิธีดับร้อนต่างๆนาๆกันไป
แต่มีอย่างนึงที่ผมชอบใช้เพื่อดับร้อนก็คือการกินครับ เพราะนอกจากจะหายร้อยแล้วยังอิ่มด้วยครับ (มันเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย!!!)
ส่วนของกินดับร้อนก็มีเยอะเยะไป แต่มีอย่างนึงที่หลายๆคนชอบกิน
แน่นอนครับ นั่นก็คือ ไอติมครับ 
ด้วยความไม่ลังเลที่จะดับร้อน ผมจึงจัดเลยครับ มุ่งตรงเข้าไปร้านสะดวกซื้อเลย เพื่อซื้อไอติมมาดับความเร่าร้อนในตัวผมสักหน่อย

มาถึงร้านสะดวกซื้อ ถึงขั้นหยุดชะงักไปครู่นึงเลยครับ เพราะหน้าร้านจะมีหมาเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู
เว้นทางเดินไว้ให้เราเข้าไปแค่เพียงช่องคนเดินผ่าน ส่วนพื้นที่หน้าประตูที่เหลือเป็นที่นอนอันแสนสุขของมันครับ อย่าได้หวังว่าแม่แต่จะเฉียดเข้าไป 
การเดินเข้าร้านนี้ถึงขั้นต้องเอี้ยวตัวหลบและต้องเดินย่องกันแบบไม่ให้มีเสียงเพราะกลัวมันตื่นจากฝันอันแสนหวานของมันแล้วอาจจะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่เราได้ 
ผมรู้เหตุผลข้างต้นดีครับ ก็เลยใช้วิชาย่องเบาเดินเข้าร้านแบบแทบจะไม่มีเสียง แต่พอประตูร้านเปิดเท่านั้นและครับ 
ตุ๋งๆตุ้งๆๆ  เสียงต้อนรับของร้านดังขึ้น
แม่ม!!!!!! มันตื่นทันที แล้วหันมามองหน้ากุตาเป็นมันวาวเลยครับ
อยากจะอธิบายมันกลับเป็นภาษาหมาว่า 
"ขอโทษครับพี่ น้องทำดีที่สุดแล้ว"
สุดท้ายเหมือนมันเข้าใจครับ ก้มหัวลงไปแล้วนอนต่อ
ผมนี่โล่งอกรีบวิ่งเข้าร้านทันที

เข้ามาในร้านก็ไม่ลังเลมุ่งตรงเข้าไปยังตู้แช่ไอติมเลยครับ 
มองไปมองมา เห้ย!!!! อันนี้รสใหม่นี่นา วนิลาชั้นดีเคลือบด้วยช็อคโกแลตขาวจากนอกโลก  
แต่ราคาแพงนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ แพงกว่าก๋วยเตี๋ยวเป็ดพิเศษทุกอย่างที่เพิ่งกินมาอีก  
แต่ก็ไหนๆแล้ว เอาวะลองสักที มื้ออื่นค่อยแดกมาม่าเอาก็ได้
หยิบมาหนึ่งแท่งแล้วตรงไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์ทันที 
เดินออกมาจากร้านพร้อมไอติมที่จะดับร้อน อย่างฟินนนน

เริ่มพิธีการดับร้อนด้วยการฉีกซองตามรอยปรุ แต่......ฉีกไม่ออกครับ!!! มึงจะทำรอยปรุไว้เพื่อ
ไม่เป็นไรเรามีแผนสองครับ
หยิบซองขึ้นมา อ้าปาก แล้วกัดซองไว้ด้วยฟันเขี้ยวให้แน่นพร้อมกับใช้แรงจากแขนดึงอย่างรวดเร็วได้ผลครับ!!! ซองฉีกออกมาอย่างสวยงามพร้อมกับเผยโฉม ไอติมที่เคลือบช็อกโกแลตขาวน่ากินมากกกก

ไม่รอช้า กัดไปคำแรก บอกได้เลยครับว่า ขนทุกเส้นในร่างกายเรียงกันชูชันพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เพราะมันหวานมากกกกกครับ แต่ไม่เป็นไรครับก็ยังฟินอยู่เพราะกุซื้อมาราคาแพงมาก 555

หลังจากขนทุกเส้นหดกลับเข้ารูขุมขนสู่สภาพเดิม จึงกัดคำที่สองอย่างไม่รอช้า 
โป๊ะะะะะ!!!!! ช็อคโกแลตขาวจากนอกโลกนี่แตกเป็นเสี่ยงๆ วนิลาอันหอมหวานข้างในนี่ไหลเยิ้มเป็นทางเต็มมือกุเลยครับ ดับร้อนจนกุเย็นไปทั้งแขนแล้ว โชคยังดีที่ไม่ได้ทิ้งซองเลยเอามารองเศษที่แตกไว้ทัน

ด้วยราคาที่แพงหูฉี่ จะทิ้งก็เสียดาย ตัดสินใจกินต่อครับ 
กรรมวิธีการกินก็ต้องเปลี่ยนไป จากแทนที่จะได้กัดกินไอติมอย่างฟินต้องเปลี่ยนเป็นการดูดวนิลาที่เลอะเต็มแขนแทน 
ซู้ด!!!! ดูดครั้งเดียวครับ   วนิลาหมดเกลี้ยง    
เหลือแต่เศษช็อคโกแลตขาวที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนซองที่มีรอยปรุสำหรับเปิดแต่เปิดไม่ออก 555 

สุดท้าย ก็กินเปลือกช็อคโกแลตขาวโดยการใช้มือหยิบเศษช็อคโกแลตแต่ละชิ้นเข้าปากจนหมดครับ เล่นเอามือเลอะต้องไปซื้อน้ำเย็นมาล้างมือกันอีก

บอกได้เลยครับ ว่าตอนนี้พี่หายร้อนแล้ว แต่อยากจะเข้าไปเผาร้านมึงแทนครับ!!!!!!!







วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ครั้งแรกกับการดูหนังอินเดียในโรงหนัง

เคยดูหนังอินเดียกันมั้ยครับ!!!

ผมจำได้เคยดูตอนเด็กๆ อย่าถามต่อนะครับว่าเด็กๆนี่อายุเท่าไรเอาเป็นว่าตอนเด็กๆก็แล้วกัน จำได้ว่าตอนนั้นพ่อกับแม่เช่าม้วนวิดีโอมาดูครับ (ยังเป็นวิดีโอครับคงพอเดาได้ว่าเด็กขนาดไหน555)

หนังอินเดียนี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนหนังจากชาติใดในโลกจริงๆ ดูกี่เรื่องๆก็เหมือนได้ดูละครเพลงเพราะแทบจะทุกสิบนาทีจะต้องมีการร้องเพลงพร้อมกับเต้นกันอย่างเมามันส์ โยกกันจนคอแทบจะหลุด ตั้งแต่เริ่มเรื่องก็ร้องเพลงกันเลย จะกินข้าวก็ร้องเพลง จะต่อสู้ก็ร้องเพลง เวลาเศร้าก็ร้องเพลง แต่ทีเด็ดนี่ต้องตอนมีความรักเลยครับ คือ เล่นร้องเพลงพร้อมเต้นกันข้ามภูเขาเป็นลูกๆกันเลยทีเดียว นอกจากนี้นางเอกนี่ต้องอ๊ววบบ อวบ ไม่ได้อ้วนนะครับแค่อ๊ววววบ อวบ เวลาวิ่งข้ามเขานี่ พุงกระเพื่อมผับๆตามทำนองเพลงเลย ดูแล้วเพลิน 555 

จากวันนั้นหนังอินเดียก็กลายเป็นแค่ความทรงจำเสี้ยวหนึ่งของผมแค่นั้นเอง 

จนไม่นานมานี้ ผมมีแผนจะไปดูหนังกับแฟนผม เราได้เปิดโปรแกรมฉายหนังของโรงหนังที่จะไปดูกันจากอินเตอร์เน็ต และพบว่ามีเรื่องนึงที่น่าสนใจ เพราะเรื่องอื่นๆที่ฉายในเวลานั้นเราได้ดูกันไปหมดแล้ว 555 เมื่อตกลงกับแฟนได้เราจึงตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันครับ (การตกลงกับแฟนก็คือ การที่แฟนถามเราว่าดูเรื่องนี้มั้ย!!!แล้วเราก็ต้องตอบว่า"ดีครับ" ToT) 

จากนั้นผมก็เช็คข้อมูลดูรีวิวกันหน่อยครับว่าหนังเรื่องนี้มันมีกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง ผมก็เลยตัดสินใจดูข้อมูลจากเว็บไซต์ ตามประสาวัยรุ่นทันสมัยอ่ะครับ เว็บนี้เค้าจะบอกว่าหนังเป็นแนวไหน และมีการโหวตให้คะแนนครับซึ่งคะแนนจะเต็มสิบ ถ้าให้คะแนน เยอะกว่าเจ็ดนี่ถือว่าเป็นหนังขั้นเทพแล้วล่ะครับ เทพแบบว่าถ้าเป็นหนังรักนี่ดูกันแล้วได้อารมณ์แบบว่ารักกันปานจะผสมพันธุ์กันเลยทีเดียว หรือถ้าเป็นหนังยิงนี่ก็ยิงกันจนไส้ทะลักล้นจอเลย

ส่วนหนังเรื่องที่ผมจะดูนี่ ได้ข้อมูลออกมาแล้วครับ

หนังเรื่องนี้เป็นหนังอินเดียครับ แนว comedy และ drama 

นั่นไง!!! แปลเป็นไทยก็คือ หนังตลกอารมณ์ดีและหนังชีวิตเคร่งเครียด ดูแล้วมันช่างขัดแย้งกันจริงๆ ตกลงจะตลกหรือจะเครียดเนี่ยเลือกสักอย่างได้มั้ย!!!  แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าหนังน่าสนใจมากขึ้น จากนั้นได้เลื่อนสายตาลงมาดูคะแนนโหวตครับ แม่เจ้า!!! ปรากฎว่า ได้เก้าเต็มสิบครับ ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะหนังรางวัลออสการ์บางเรื่องได้แค่เจ็ดหรือแปดเอง แต่ความจริงผมลืมดูจำนวนคนโหวต ซึ่งมาดูภายหลังพบว่ามีแค่ประมาณร้อยกว่าคนเองเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆซึ่งคนโหวตบางเรื่องเกือบแสน และคนร้อยกว่าคนที่เข้ามาโหวตหนังเรื่องนี้อาจเป็นแค่คนอินเดียที่หลงไหลคลั่งไคล้ในหนังของชนชาติตัวเองเท่านั้น 555

เมื่อมาถึงโรงหนังผมก็เข้าแถวซื้อตั๋วตรงเคาท์เตอร์เลยครับ แต่เดี่ยวนี้โรงหนังก็จะมีระบบที่ซื้อตั๋วผ่านตู้อัตโนมัติ(ที่ต้องมีพนักงานคอยบอกวิธีการซื้อ)แล้วด้วยนะครับ ถือว่าทันสมัยเลยทีเดียวเพราะเราต้องนำเงินสดไปซื้อบัตรเติมเงินที่เคาท์เตอร์แล้วเอาบัตรเติมเงินนั้นมาซื้อตั๋วหนังที่ตู้อีกที ทันสมัยกว่าระบบเก่าที่เราแค่เอาเงินไปเคาท์เตอร์แล้วซื้อตั๋วหนังได้เลย 555

"หนังเรื่องนี้สองที่ครับ นั่งแถวซีนะ" ไม่มีการถามต่อว่ารอบกี่โมงเพราะทั้งวันมีแค่รอบเดียว 
"สองที่หกร้อยบาทค่ะ" พนักงานเสียงหวานพูดออกมา

ผมและแฟนต่างหันมามองหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ตอนแรกนึกว่าเป็นที่นั่งแบบสวีตที่แพงกว่าปกติ เพราะมีความพิเศษที่สามารถเอาที่กั้นตรงกลางขึ้นมาได้ทำให้ได้นั่งแขนชนกันอย่างสวีตเลย 

"นี่ที่นั่งสวีตเหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัยเพราะราคาหนังทั่วไปไม่น่าจะถึงสามร้อยต่อที่นั่ง
"ปล่าวค่ะราคาเท่ากันทั้งโรง" พนักงานสาวตอบกลับมาอย่างทันควัน

อืม!!! ผมนึกในใจ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยอมอดข้าวกินมาม่าก็แล้วกัน ลองดูสักที เว็บเค้าให้ตั้งเก้าคะแนนบางทีที่มันแพงอาจเพราะเป็นหนังสามมิติที่อาจได้เห็นนางเอกวิ่งข้ามภูเขาพุงกระเพื่อมๆ มาตรงหน้า แล้วพ่นเครื่องเทศใส่หน้าหอมอบอวลกันทั้งโรงก็ได้  แต่ก็แอบนึกในใจ แม่ม ถ้าไม่สนุกล่ะผมจะฉี่รดที่นั่งแน่ 555 ล้อเล่นน่า++

ตอนซื้อตั๋วดูจากหน้าจอแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเป็นโรงที่เล็กพอสมควร พอเดินขึ้นบันไดเลื่อนเข้ามาสู่โรงหนังจริง พบว่า โอ้ว!!!เล็กกว่าที่คาดไว้อีก นี่มันคือโรงภาพยนตร์ส่วนตัวหรือไรเนี่ย ทั้งโรงคาดว่าน่าจะมีประมาณสี่สิบถึงห้าสิบที่นั่ง แอบคิดว่าถ้าในอนาคตมีตังค์กะจะชวนกลุ่มเพื่อนๆที่สนิทมาร่วมกันเช่าเหมาให้ฉายหนังเป็นการส่วนตัวดูกันในโรงเลยทีเดียว โรงขนาดกะทัดรัดแบบนี้!!!


เมื่อเดินเข้ามาปุ๊บก็ต้องตกใจปั๊บ พบว่า นี่ผมอยู่ในดินแดนภารตะหรือเนี่ย คนดูทั้งโรงมีอยู่ประมาณสิบกว่าคนรวมตัวผมและแฟนแล้ว แต่ละคนนี่นุ่งสาหรี่โพกหัวแขกมาหมดเลยอย่างกะอยู่อาณาเขตประเทศอินเดีย นี่มีผมกะแฟนสองคนที่หลงประเทศเข้ามาดูหนังอินเดียในเขตดินแดนไทยที่ถูกปกครองโดยชาวอินเดียหรือเปล่าเนี่ย!!!

นั่งทอดกายเอนหลังไปบนเก้าอี้สีแดงสดล้อมรอบไปด้วยมวลมหาประชาอินเดียสักพัก หนังตัวอย่างก็เริ่มขึ้น 

"อาาหรรรรรี่โอยาาาาาาา......." เพลงมาก่อนเลยครับ อืมหนังอินเดียจริงๆมาไม่ผิดโรงแน่ นี่แค่ตัวอย่างก็เล่นร้องเพลงกันจนโยกคอตามไม่ทันแล้ว จากนั้นเนื้อเรื่องก็เริ่มต้นขึ้น ตัวละครในหนังคุยกันเป็นภาษาใดภาษานึงแน่นอนที่ใช้กันในอินเดีย บอกตามตรง ผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำเลยครับ แต่เอ๊ะ!!! ผมสังเกตที่หน้าจอหนังอีกทีอย่างตั้งใจ แม่มมมมม!!!มันไม่มี sub title นี่หว่า ซวยแล้วนี่ผมจะดูรู้เรื่องเหรอเนี่ย 
ตอนนี้ได้แต่นั่งคิดในใจ ตั๋วอย่างแพง หนังไม่มี subtitle รูจมูกหอมเครื่องเทศจากมวลมหาประชาอินเดียรอบข้างไปหมดแล้ว นี่คงเป็นอีกครั้งนึงที่ตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตก็เป็นแน่  ToT

ไม่นานนักหนังตัวอย่างเรื่องแรกก็จบออกไปและเรื่องใหม่เข้ามาต่อเนื่องทันทีแบบไม่ทันได้หายใจ OMG มี sub tile ให้แล้ว  ดีใจยังกะถูกหวย แต่ดูดีๆ  เฮ้ย!!! sub title อังกฤษนี่หว่า นี่ผมคนไทยนะครับไม่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษมาก่อนทำไมไม่มี sub title ไทยครับ ขอเถอะครับผมขอ sub titleไทย!!! 

จบหนังตัวอย่างไปสองเรื่องแล้ว ผมเหมือนนั่งดูแต่ภาพเคลื่อนไหวกับฟังภาษาต่างดาวในดินแดนไทยที่รักยิ่งแห่งนี้ 

เรื่องถัดมา เซอร์ไพรส์ครับ ไม่ใช่ตัวอย่างหนังแต่เป็นโฆษณาชวนเลิกสูบบุหรี่ครับ อืม!!!ภาษาอินเดียล้วนๆ  ที่พอเดาได้ว่าเป็นการชวนเลิกสูบบุหรี่เพราะในโฆษณา มีคนหนุ่มๆคนนึงเป็นน่าจะเป็นพ่อ นั่งดูดบุหรี่ขณะกำลังดูละครหลังข่าวกับสาวน้อยคนนึงที่น่าจะเป็นลูกสาว จากนั้นลูกสาวหันไปทำหน้าเหม็นๆใส่พ่อ พ่อมันเลยหักบุหรี่ทิ้งต่อหน้าลูกแล้วลืมดับก้นบุหรี่ สุดท้ายไฟที่ลืมดับกลายเป็นไฟไหม้บ้านไม่มีตังค์ซื้อบุหรี่ จึงเลิกบุหรี่ (บ้าไม่ใช้อย่างนั้น!!!) ลูกทำหน้าเหม็นๆใส่พ่อแล้วพ่อสงสารลูกที่ได้รับควันบุหรี่เข้าไป เลยเลิกบุหรี่เพราะรักลูก ดูแล้วอย่างซึ้งน้ำแทบไหลครับ

ไม่นานทั้งโรงก็เปลี่ยนเป็นฉากสีขาว พร้อมกับมีอักษรแขกขึ้นเต็มหน้ากระดาน ก็ไม่ทราบจริงๆว่ามันคืออะไร แต่ส่วนตัวเดาว่าคงเป็นใบรับประกันหนังอินเดียว่าหนังเรื่องนี้เป็นอินเดียแท้ๆแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ แม่เจ้า!!!! เป็นความรู้ใหม่ครับ หนังอินเดียแท้ต้องมีใบรับประกันก่อนด้วยหรือเนี่ย หากไม่มีใบรับประกันขึ้นโชว์ที่หน้าจอให้เดินออกจากโรงได้เลย หนังอินเดียปลอมแน่ๆ 

จากนั้นหนังเรื่องที่ผมจะดูก็ได้เริ่มขึ้น.....

หน้าจอเต็มไปด้วยผ้าส่าหรีหลากสีสัน กลิ่นน้ำหอมคล้ายกลิ่นเครื่องเทศลอยแตะจมูก โอ้ว!!! ผมนี่คิดเลยครับว่า ผมกำลังดูหนัง 4 มิติหรือเนี่ย แต่ความจริงไม่ใช่ครับเป็นกลิ่นน้ำหอมของแขกที่นั่งหน้าเรา กลิ่นนี่มันช่างหอมระทวยระทมตรมใจจริงคงเอกลักษณ์แห่งความเป็นอินเดียได้ดีจริงๆ

เรานั่งดูกันไปสักพักหนังกำลังสนุก จู่จู่ ภาพก็จะจางหายไป แสงสว่างค่อยๆเข้ามาแทนที่ ชาวต่างชาติ ทั้งหลายในโรงหนังต่างอพยพเคลื่อนย้ายออกไปข้างนอกทีละคนสองคน ผมนี่มองหน้ากับแฟนเลยครับ หนังมันจบแล้วหรือ!!!!!

ผมเลยมองไปที่หน้าจอโรงหนังอีกครั้งเพื่อความมั่นใจมันจบแล้วจริงหรือเปล่า และแล้วความจริงก็กระจ่างครับว่า หนังพักครึ่งครับ โอ้วจอร์ช!!!! มีพักครึ่งให้เราไปเข้าห้องน้ำห้องท่าหาอาหารคาวหวานกินกันเพื่อจะได้เพิ่มความมันส์กันในตอนต่อไป เยี่ยมครับ!!!!

พักได้ประมาณสิบห้านาทีเราก็เริ่มดูหนังกันต่อ หนังก็ดำเนินไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆจนจบ 

สำหรับผมนั้น ความรู้สึกประทับใจปนประหลาดใจสำหรับการดูหนังอินเดียในโรงหนังนั้นไม่ได้จบตามหนังเรื่องนี้ลงไปเลย มันกลับยิ่งเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากดูเรื่องต่อๆไปมากขึ้นด้วยซ้ำ




วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นในวันสงกรานต์ ตอนที่ 2

ขอต่อจากตอนที่แล้วนะครับ

5.เทศกาลดื่มเหล้าเบียร์มาราธอน

             เคยได้ยินเทศการดื่มเบียร์ที่เยอรมันกันบ้างมั้ยครับ ผมเคยได้ยินบ่อยๆมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ โตขึ้นก็กะว่าจะลองไปดูสักครั้ง กะจะดื่มกันให้ฉี่หอมเบียร์กันไปเลยทีเดียว 555 แต่ก็ยังเป็นแค่ฝันนะครับ เพราะยังติดเหตุผลคนจนภาคบังคับอยู่ครับ นั่นก็คือ ไม่มีตังค์ 
             แต่นับเป็นโชคดีของผมยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งอีกครับ เพราะผมดันเกิดในประเทศไทย ซึ่งเรามีเทศกาลดื่มเหล้าเบียร์มาราธอนที่สนุกกว่าเทศกาลดื่มเบียร์ที่เยอรมันเสียอีก นั่นคือ เทศกาลสงกรานต์บ้านเรานี่แหละครับ
             เทศกาลที่ว่านี้เริ่มกันตั้งแต่ก่อนเดินทางขึ้นรถกลับบ้านเลยกันครับ โดยเฉพาะคนที่กลับรถโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นรถทัวร์หรือรถไฟ
            ปกติรถโดยสารส่วนใหญ่จะเดินทางเวลากลางคืน ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็เช้าพอดี  คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ครับ คาดการณ์แล้วว่าจะต้องเดินทางหลายชั่วโมง  ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำที่สุดระหว่างเดินทางก็คือการนอนหลับพักผ่อน และสิ่งที่จะช่วยให้เรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบายอุรานั่นก็คือ การดื่มเบียร์สักขวดสองขวดพอเป็นกษัยเส้นช่วยให้นอนหลับฝันดีได้บนรถ จะมีอะไรฟินไปกว่านี้จริงมั้ยครับ 555
             แต่แล้วสุราเมรยมัชปมา ก็มักจะนำพาความทุกข์มาให้เสมอครับ จากตอนแรกเราตั้งใจว่าจะดื่มแค่ขวดเดียว ผลคือ เหมือนมันยังไม่เมา ยังไม่สุด ยังหลับไม่ลง (นั่นไงเอาแล้ว!!!ต้องจัดอีกสักขวด) ว่าแล้วก็จัดไปเลยครับอีกขวดกลายเป็นสองขวดกำลังดีเมาพอง่วงนอน ขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บตามที่วางแผนไว้แป๊ะ!!! ต่อจากนั้นไม่นานนักเราก็จะเข้าสู่ภวังค์ แล้วก็จะฝันเหมือนว่าปวดฉี่แล้ว แม่ม!!! ตื่นขึ้นมา ปวดฉี่จริงๆครับ ต้องตื่นมาฉี่อีกแทนที่จะได้หลับยาวๆกันไป(นึกในใจ ไม่น่าเลยกู...ไม่น่าจัด 2 ขวดเลย) แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่ตื่นก่อน เพราะบางคนฝันยาวกว่านั้นคือ ฝันต่อว่ากำลังฉี่ในฝันอย่างฟินสุดๆ ตื่นขึ้นมาจริงก็เป้าอุ่นไปแล้วครับ
              เมื่อปวดฉี่ทำไงได้ล่ะครับ หากพิจารณาแล้วว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว ก็อั้นฉี่ดีกว่าครับ เพราะจะเข้าห้องน้ำรถทัวร์หรือรถไฟนั้นมันต้องวิทยายุทธ์ที่แก่กล้าพอสมควร แต่หากหนทางยังอีกยาวไกลหรือทนไม่ไหวจริงๆแล้วก็ต้องลองวิทยายุทธ์การเข้าห้องน้ำรถทัวร์หรือรถไฟกันสักตั้ง
             หากใครเคยเข้าห้องน้ำรถโดยสารไม่ว่าจะเป็นรถทัวร์หรือรถไฟมาแล้วจะพบว่ามันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนะครับ เพราะต้องผ่าด่านอรหันต์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด่านของฝึกการทรงตัวยิงเป้าโดยเฉพาะผู้ชายแล้วท่านต้องยืนฉี่พร้อมต้านทานแรงเหวี่ยงอันสุดโหด ไม่ว่าในรถทัวร์หรือรถไฟก็ตามมันจะโยกและเหวี่ยงท่านจนฉี่ไม่ตรงโถกันเลยทีเดียว บางคนกว่าจะฉี่เสร็จเล่นเอาเท้าอุ่นกันไปเลยทีเดียว(ฉี่ใส่ขาตัวเอง555) หรืออีกด่านคือการดัดตัว โดยเฉพาะในรถทัวร์ ห้องน้ำขนาดจะเล็กและแคบมาก เข้าไปฉี่แต่ละทีนี่คือกุต้องเตรียมกระบวนท่าที่จะยืนฉี่ก่อนทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วท่านอาจจะต้องใช้วิชาดัดตัวหากระบวนท่าที่จะใช้ฉี่กันอยู่สักพักก็เป็นได้
           นี่แค่วันแรกของเทศกาลก็เล่นเอาไปครึ่งหน้าซะแล้วครับ
           วันต่อมานับได้ว่าเทศกาลดื่มเหล้าเบียร์มาราธอนได้เริ่มขึ้นอย่างแท้จริง เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่เราก็จะกลับบ้านกันมาเพื่อพบเจอญาติพี่น้อง หรือพบเจอเพื่อนเก่าๆที่แยกย้ายกันไปทำงานต่างที่ต่างถิ่น กลับมาเจอกันทีนึงก็ต้องสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา แต่สิ่งที่จะทำให้เ่ล่าประสบการณ์ได้อย่างไหลลื่นมันก็ต้องใช้สารหล่อลื่นกันสักหน่อย ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเหล้าเบียร์ที่สุดแล้วแต่จะสรรหากันมา
            ในช่วงสองสามปีมานี้มีกฏหมายกำหนดออกมาว่าห้ามจำหน่ายสุราในช่วงวันสงกรานต์ คนไทยเราเป็นคนเคารพกฎหมายครับ เล่นซื้อตุนไว้ตั้งแต่ก่อนสงกรานต์เลย555 มีการวางแผนไว้อย่างดีครับ บางทีเล่นนับจำนวนญาติพี่น้องที่จะกลับบ้านว่ามากี่คนแล้วให้โอนตังค์มาล่วงหน้าเพื่อซื้อเหล้าเบียร์ไว้รอกันเลยทีเดียว นับได้ว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการใช้กฏหมายกำหนดออกมาว่าห้ามจำหน่ายสุราในช่วงวันสงกรานต์ครับ!!!
             ในเทศกาลเหล้าเบียร์มาราธอนนั้น ผู้คนที่เข้าร่วมก็จะมีกิจวัตรประจำวันเหมือนๆกัน คือ ดื่ม เมา นอน ตื่น ดื่ม เมา นอน ตื่น ดื่ม เมา นอน ตื่น เป็นวัฏจักรไป บางคนเมากันจนจำลูกเมียไม่ได้ก็ยังมี นอกจากนี้บางคนอาจมีกิจวัตรเสริมเข้าไปบ้าง เช่น ดื่ม เมา โดนต่อย นอน ตื่น ดื่ม เมา เล่นไพ่ นอน 555 แล้วแต่ใครจะชอบครับ กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมทั้งนั้น!!!
             จนมาถึงวันส่งท้ายเทศกาล ก็คือ วันที่ทุกคนเตรียมจะเดินทางกลับมายังที่ทำงาน ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะทุกคนต่างผ่านศึกเมามาราธอนกันมายาวนาน เพื่อเป็นการเตรียมการกลับไปทำงานอย่างมีสติแจ่มใสไร้ร่องรอย คนไทยเราได้ค้นพบวิธีการเตรียมพร้อมสู่วันที่สดใส วิธีการนั้นเรียกกันว่า "การถอน"
             เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจครับว่าการถอนคืออะไร ผมจึงเสาะหาและได้รับคำอธิบายจากผู้รู้ท่านนึง ท่านได้อธิบายผมว่า "การถอนคือการค่อยๆดื่มเหล้าเบียร์เข้าไปเพื่อจะให้อาการเมาค่อยๆทุเลาลง" ลองอ่านอีกครั้งนะครับ"การถอนคือการค่อยๆดื่มเหล้าเบียร์เข้าไปเพื่อจะให้อาการเมาค่อยๆทุเลาลง" ส่วนตัวผมชอบประโยคนี้นะครับ เพราะฟังดูแล้วมีเหตุผล555 ใครอยากถอนเร็วก็ต้องดื่มเข้าไปเยอะๆหน่อยนะครับ!!!
            เห็นมั้ยล่ะครับถ้าไม่มีวันสงกรานต์บ้านเราก็คงไม่มีเทศกาลเหล้าเบียร์มาราธอนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
           




วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นในวันสงกรานต์ ตอนที่ 1

1. เพลงในห้าง

เดินเข้าห้างปุ๊บ โสตประสาทท่านจะสั่นคลอนไปกับเสียงเพลงนี้

"วันนี้ เป็นวันสงกรานต์หนุ่มสาวชาวบ้านเบิกบานจิตใจจริงเอยตอนเช้าทำบุญ ทำบุญตักบาตรทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันเอยเข้าวัดแต่งตัว แต่งตัวสวยสะไปสรงน้ำพระ ณ วันสงกรานต์กันเอย
ตอนบ่ายเราเริ่มเฮฮาเล่นมอญซ่อนผ้าเล่นซะบ้ากันเอยทำบุญทำทานสนุกสนานกันแล้วขอเชิญน้องแก้วรำวงกันเอย..

จากที่ข้าพเจ้าไปเดินมาหลายห้าง ขอยอมรับว่าทุกห้างเปิดเหมือนกันหมด 
เปิดกันตั้งแต่ห้างเริ่มเปิด ยันห้างปิด วนไปเวียนมานับพันรอบ
คาดว่าแม่ค้าจนกระทั่งลุงยามในห้างทุกคนต้องร้องได้ 
หากไป check  billboard จะพบได้เลยว่าติดชาร์ตอันดับ1 แน่นอน!!!!

2.รถในกรุงเทพโครตโล่ง

ถนนบางเส้นโล่งจนน่าใจหายนึกว่าใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดกันเลยทีเดียว 
รถโล่งกันจนทางด่วนบางเส้นเปิดให้วิ่งฟรี เพราะเก็บตังค์ไปไม่คุ้มค่าแรงคนเก็บ
โล่งจนอ้างไม่ได้ว่ามาทำงานสายเพราะรถติด
บางทีโล่งจนกุนั่งสองแถวหรือรถรับจ้างแล้วไม่มีปราการป้องกัน เป็นเป้านิ่งให้ข้างทางสาดน้ำโดนกุ 100 %%% แบบไม่พลาดเป้า 
ขอบคุณครับที่รถโล่ง!!!

3.เพลงแดนซ์

เปิดกันเกือบทุกบ้าน แดนซ์กัน มันส์กันกระจาย นับว่าเข้ากับประเพณีสงกรานต์มาก 
สาวแก่ สาวแท้ หนุ่มเทียม เต้นกันเอวแทบหลุด
คงมีที่มาจากสมัยบรรพกาล ที่แม่นางสงกรานต์เดินผ่านทุ่งนาแล้วเทวดาเปิดเพลงแดนซ์ระหว่างทางล่ะม้าง ถุย!!!
เนื้อเพลงไม่มีอะไรมาก จะร้องประมาณว่า "ลา ลา ล้า หล่า ลา ลุบ ๆๆๆๆๆๆๆ" แต่ดนตรีนี้เปิดที่ปากซอยได้ยินไปถึงท้ายซอย ถึงขั้นนั่งขี้ในห้องน้ำ ขี้ในชักโครกยังกระเด่้งกระดอนตามจังหวะเพลงเลย
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันกันด้วย บ้านไหนยิ่งเปิดดังบ้านนั้นจะชนะ
ยิ่งถ้าเป็นบ้านที่่อยู่ใกล้ห้างนะ คงกลายเป็นวงประสานเสียง  
"วันนี้ เป็นวันสงกรานต์ ลา ลา ล้า หล่า ลา ลุบ ๆๆๆๆๆๆๆ
หนุ่มสาวชาวบ้าน ล้า หล่า ลา ลุบ ๆๆๆๆๆๆๆ เบิกบานจิตใจจริงเอย "

4.การเดินทางกลับต่างจังหวัดลำบากมาก

ปกติสงกรานต์จะหยุดยาวกันอยุ่แล้ว อย่างน้อยก็ 4-5 วัน แต่บางคนเทคนิคในการลาแพรวพราวเพิ่มวันลาได้อีกครับ เช่น ลาเพิ่มอีกสองวันจะได้หยุดเสาร์ อาทิตย์เพิ่มด้วยรวมเป็น 7-8 วัน บางคนแพรวพราวกว่านั้นเล่นลากันตั้งแต่หยุดยาววันจักรีควบสงกรานต์เลยหยุดกันไปสองอาทิตย์เลย กลับมาเจ้านายจำไม่ได้แล้วว่าลูกน้องคนนี้ชื่ออะไร โต๊ะทำงานนั่งตรงไหนให้คนนั่งอื่นแทนไปแล้ว 555 
แต่ถึงลากันได้เยอะก็มีเรื่องที่ทำให้ลำบากใจเหมือนกัน นั้นคือ จะกลับบ้านโดยวิธีไหน แต่ละวิธีก็ปวดหัวกันมิใช่น้อยกว่าจะได้เดินทางถึงจุดหมายอย่างสวัสดิภาพ ผมขอสรุปแต่ละวิธีดังนี้
เครื่องบิน
เป็นการเดินทางที่เหมาะสำหรับคนมีเงินสักหน่อย ใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างเร็ว พบว่าจากกรุงเทพไปเชียงใหม่แค่หนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่อย่าลืมบวกเวลาเพิ่มต่อไปนี้ด้วยนะครับ เวลาที่ต้องนั่งรถไปยังสนามบินประมาณชั่วโมงครึ่ง เวลาที่ต้อง check in และรอเครื่องออกอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เวลาที่ต้องรอโหลดของและออกจากสนามบินอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เวลาที่ต้องออกจากสนามบินเดินทางต่อไปยังบ้านประมาณหนึ่งชั่วโมง รวมเวลาเดินทางทั้งหมดแล้วประมาณห้าชั่วโมง ยังถือว่าเร็ว อิอิ!!! เพราะตั๋วกุแพงมากกกกกกกกก (ตั๋วเดินทางโดยเครื่องบินในช่วงเทศกาลนับว่าเป็นตั๋วพิเศษครับ เพราะราคาแพงเป็นพิเศษ)
รถส่วนตัว
เป็นการเดินทางที่สะดวกอีกเส้นทางหนึ่งครับ ระหว่างทางก็ได้ทำบุญบริจาคตลอดทางยิ่งไม่มีใบขับขี่อาจจะได้บุญจากการบริจาคเยอะหน่อย อิอิ นอกจากนี้ระหว่างทางยังมีเวลาทำจิตใจให้สงบเพราะรถที่ติดจนแทบจะเต่าเดินแซงได้ หากเราใช้เวลานั้นในการนั่งสมาธิอาจจะบรรลุญาณชั้นสูงได้ ดังนั้นการเดินทางกับรถส่วนตัวจึงเหมาะสำหรับคนสายธรรมะจริงๆ
รถไฟ
ตามสโลแกนเลยครับ "ปลอดภัยและใช้เวลาเดินทางคุ้มค่าตั๋ว"  อันนี้ต้องขอบคุณรถไฟนะครับที่เค้าแถมเวลาเดินทางให้
ถึงแม้ว่าการเดินทางโดยรถไฟจะประหยัดและปลอดภัยสุดก็ตามแต่มีข้อควรระวังไว้อย่างหนึ่งนะครับ ว่ามันเต็มเร็วมาก เพราะปกติรถไฟจะเปิดให้จองตั๋วก่อนเดินทางจริงได้ประมาณสองเดือน ผมเคยแล้วครับครั้งนึงจะกลับรถไฟเลยนับว่าที่จะจองล่วงหน้าสองเดือนพอดี สุดท้ายเต็มครับ เพราะผมโทรไปช่วงบ่าย ใครจะไปรู้ว่ามันเต็มตั้งแต่ตอนเช้า หรือผมลืมคิดไปว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบของแถม 555
รถทัวร์
เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางนึงครับ เพราะปกติช่วงเทศกาลจะมีการจัดรถทัวร์เสริมให้ ซึ่งนับว่าดีมากเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนได้กลับบ้านกันมากขึ้น บางทีเสริมกันจนกลับบ้านผิดจังหวัดก็มี เพราะรถเสริมนั้นบางทีป้ายที่ติดที่ข้างรถว่าไปจังหวัดไหนอาจไม่ใช่ไปจังหวัดนั้น เช่น ข้างรถเขียนว่า กรุงเทพ - เชียงใหม่ ไอ้เราก็จะกลับเชียงใหม่ซื้อตั๋วมาแล้วขึ้นนั่งมันเลย ตื่นมาอีกทีอาจถูกส่งไปขายที่แม่สอดแล้วก็ได้ เพราะมันมีป้ายคำว่ารถเสริมแม่สอดขนาดเท่ากระดาษ A4 ที่ต้องใช้แว่นขยายในการมองถึงจะเห็นติดอยู่หน้ารถ เพราะฉะนั้นต้องรอฟังประกาศและเช็คกับเจ้าหน้าที่ให้ดีๆก่อนออกเดินทาง และอีกอย่างการเดินทางโดยรถทัวร์เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบท้าท้ายในชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนออกเดินทางมักจะได้ยินข่าวทัวร์พลิก ทัวร์คว่ำอยู่บ่อยๆ บางทีแม่ม!!!! เปิดอยู่บนจอหน้าที่นั่งที่กุนั่งบนรถทัวร์ มันยิ่งเพิ่มความเสียวในชีวิตให้อีกเป็นสิบเท่า!!!

ยังมีอีกนะครับ
ผมขอมาเล่าต่อใน สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นในวันสงกรานต์ ตอนที่ 2 ครับ