ผมจำได้เคยดูตอนเด็กๆ อย่าถามต่อนะครับว่าเด็กๆนี่อายุเท่าไรเอาเป็นว่าตอนเด็กๆก็แล้วกัน จำได้ว่าตอนนั้นพ่อกับแม่เช่าม้วนวิดีโอมาดูครับ (ยังเป็นวิดีโอครับคงพอเดาได้ว่าเด็กขนาดไหน555)
หนังอินเดียนี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนหนังจากชาติใดในโลกจริงๆ ดูกี่เรื่องๆก็เหมือนได้ดูละครเพลงเพราะแทบจะทุกสิบนาทีจะต้องมีการร้องเพลงพร้อมกับเต้นกันอย่างเมามันส์ โยกกันจนคอแทบจะหลุด ตั้งแต่เริ่มเรื่องก็ร้องเพลงกันเลย จะกินข้าวก็ร้องเพลง จะต่อสู้ก็ร้องเพลง เวลาเศร้าก็ร้องเพลง แต่ทีเด็ดนี่ต้องตอนมีความรักเลยครับ คือ เล่นร้องเพลงพร้อมเต้นกันข้ามภูเขาเป็นลูกๆกันเลยทีเดียว นอกจากนี้นางเอกนี่ต้องอ๊ววบบ อวบ ไม่ได้อ้วนนะครับแค่อ๊ววววบ อวบ เวลาวิ่งข้ามเขานี่ พุงกระเพื่อมผับๆตามทำนองเพลงเลย ดูแล้วเพลิน 555
จากวันนั้นหนังอินเดียก็กลายเป็นแค่ความทรงจำเสี้ยวหนึ่งของผมแค่นั้นเอง
จนไม่นานมานี้ ผมมีแผนจะไปดูหนังกับแฟนผม เราได้เปิดโปรแกรมฉายหนังของโรงหนังที่จะไปดูกันจากอินเตอร์เน็ต และพบว่ามีเรื่องนึงที่น่าสนใจ เพราะเรื่องอื่นๆที่ฉายในเวลานั้นเราได้ดูกันไปหมดแล้ว 555 เมื่อตกลงกับแฟนได้เราจึงตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันครับ (การตกลงกับแฟนก็คือ การที่แฟนถามเราว่าดูเรื่องนี้มั้ย!!!แล้วเราก็ต้องตอบว่า"ดีครับ" ToT)
จากนั้นผมก็เช็คข้อมูลดูรีวิวกันหน่อยครับว่าหนังเรื่องนี้มันมีกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง ผมก็เลยตัดสินใจดูข้อมูลจากเว็บไซต์ ตามประสาวัยรุ่นทันสมัยอ่ะครับ เว็บนี้เค้าจะบอกว่าหนังเป็นแนวไหน และมีการโหวตให้คะแนนครับซึ่งคะแนนจะเต็มสิบ ถ้าให้คะแนน เยอะกว่าเจ็ดนี่ถือว่าเป็นหนังขั้นเทพแล้วล่ะครับ เทพแบบว่าถ้าเป็นหนังรักนี่ดูกันแล้วได้อารมณ์แบบว่ารักกันปานจะผสมพันธุ์กันเลยทีเดียว หรือถ้าเป็นหนังยิงนี่ก็ยิงกันจนไส้ทะลักล้นจอเลย
ส่วนหนังเรื่องที่ผมจะดูนี่ ได้ข้อมูลออกมาแล้วครับ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังอินเดียครับ แนว comedy และ drama
นั่นไง!!! แปลเป็นไทยก็คือ หนังตลกอารมณ์ดีและหนังชีวิตเคร่งเครียด ดูแล้วมันช่างขัดแย้งกันจริงๆ ตกลงจะตลกหรือจะเครียดเนี่ยเลือกสักอย่างได้มั้ย!!! แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าหนังน่าสนใจมากขึ้น จากนั้นได้เลื่อนสายตาลงมาดูคะแนนโหวตครับ แม่เจ้า!!! ปรากฎว่า ได้เก้าเต็มสิบครับ ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะหนังรางวัลออสการ์บางเรื่องได้แค่เจ็ดหรือแปดเอง แต่ความจริงผมลืมดูจำนวนคนโหวต ซึ่งมาดูภายหลังพบว่ามีแค่ประมาณร้อยกว่าคนเองเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆซึ่งคนโหวตบางเรื่องเกือบแสน และคนร้อยกว่าคนที่เข้ามาโหวตหนังเรื่องนี้อาจเป็นแค่คนอินเดียที่หลงไหลคลั่งไคล้ในหนังของชนชาติตัวเองเท่านั้น 555
เมื่อมาถึงโรงหนังผมก็เข้าแถวซื้อตั๋วตรงเคาท์เตอร์เลยครับ แต่เดี่ยวนี้โรงหนังก็จะมีระบบที่ซื้อตั๋วผ่านตู้อัตโนมัติ(ที่ต้องมีพนักงานคอยบอกวิธีการซื้อ)แล้วด้วยนะครับ ถือว่าทันสมัยเลยทีเดียวเพราะเราต้องนำเงินสดไปซื้อบัตรเติมเงินที่เคาท์เตอร์แล้วเอาบัตรเติมเงินนั้นมาซื้อตั๋วหนังที่ตู้อีกที ทันสมัยกว่าระบบเก่าที่เราแค่เอาเงินไปเคาท์เตอร์แล้วซื้อตั๋วหนังได้เลย 555
"หนังเรื่องนี้สองที่ครับ นั่งแถวซีนะ" ไม่มีการถามต่อว่ารอบกี่โมงเพราะทั้งวันมีแค่รอบเดียว
"สองที่หกร้อยบาทค่ะ" พนักงานเสียงหวานพูดออกมา
ผมและแฟนต่างหันมามองหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ตอนแรกนึกว่าเป็นที่นั่งแบบสวีตที่แพงกว่าปกติ เพราะมีความพิเศษที่สามารถเอาที่กั้นตรงกลางขึ้นมาได้ทำให้ได้นั่งแขนชนกันอย่างสวีตเลย
"นี่ที่นั่งสวีตเหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัยเพราะราคาหนังทั่วไปไม่น่าจะถึงสามร้อยต่อที่นั่ง
"ปล่าวค่ะราคาเท่ากันทั้งโรง" พนักงานสาวตอบกลับมาอย่างทันควัน
อืม!!! ผมนึกในใจ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยอมอดข้าวกินมาม่าก็แล้วกัน ลองดูสักที เว็บเค้าให้ตั้งเก้าคะแนนบางทีที่มันแพงอาจเพราะเป็นหนังสามมิติที่อาจได้เห็นนางเอกวิ่งข้ามภูเขาพุงกระเพื่อมๆ มาตรงหน้า แล้วพ่นเครื่องเทศใส่หน้าหอมอบอวลกันทั้งโรงก็ได้ แต่ก็แอบนึกในใจ แม่ม ถ้าไม่สนุกล่ะผมจะฉี่รดที่นั่งแน่ 555 ล้อเล่นน่า++
ตอนซื้อตั๋วดูจากหน้าจอแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเป็นโรงที่เล็กพอสมควร พอเดินขึ้นบันไดเลื่อนเข้ามาสู่โรงหนังจริง พบว่า โอ้ว!!!เล็กกว่าที่คาดไว้อีก นี่มันคือโรงภาพยนตร์ส่วนตัวหรือไรเนี่ย ทั้งโรงคาดว่าน่าจะมีประมาณสี่สิบถึงห้าสิบที่นั่ง แอบคิดว่าถ้าในอนาคตมีตังค์กะจะชวนกลุ่มเพื่อนๆที่สนิทมาร่วมกันเช่าเหมาให้ฉายหนังเป็นการส่วนตัวดูกันในโรงเลยทีเดียว โรงขนาดกะทัดรัดแบบนี้!!!
เมื่อเดินเข้ามาปุ๊บก็ต้องตกใจปั๊บ พบว่า นี่ผมอยู่ในดินแดนภารตะหรือเนี่ย คนดูทั้งโรงมีอยู่ประมาณสิบกว่าคนรวมตัวผมและแฟนแล้ว แต่ละคนนี่นุ่งสาหรี่โพกหัวแขกมาหมดเลยอย่างกะอยู่อาณาเขตประเทศอินเดีย นี่มีผมกะแฟนสองคนที่หลงประเทศเข้ามาดูหนังอินเดียในเขตดินแดนไทยที่ถูกปกครองโดยชาวอินเดียหรือเปล่าเนี่ย!!!
นั่งทอดกายเอนหลังไปบนเก้าอี้สีแดงสดล้อมรอบไปด้วยมวลมหาประชาอินเดียสักพัก หนังตัวอย่างก็เริ่มขึ้น
"อาาหรรรรรี่โอยาาาาาาา......." เพลงมาก่อนเลยครับ อืมหนังอินเดียจริงๆมาไม่ผิดโรงแน่ นี่แค่ตัวอย่างก็เล่นร้องเพลงกันจนโยกคอตามไม่ทันแล้ว จากนั้นเนื้อเรื่องก็เริ่มต้นขึ้น ตัวละครในหนังคุยกันเป็นภาษาใดภาษานึงแน่นอนที่ใช้กันในอินเดีย บอกตามตรง ผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำเลยครับ แต่เอ๊ะ!!! ผมสังเกตที่หน้าจอหนังอีกทีอย่างตั้งใจ แม่มมมมม!!!มันไม่มี sub title นี่หว่า ซวยแล้วนี่ผมจะดูรู้เรื่องเหรอเนี่ย
ตอนนี้ได้แต่นั่งคิดในใจ ตั๋วอย่างแพง หนังไม่มี subtitle รูจมูกหอมเครื่องเทศจากมวลมหาประชาอินเดียรอบข้างไปหมดแล้ว นี่คงเป็นอีกครั้งนึงที่ตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตก็เป็นแน่ ToT
ไม่นานนักหนังตัวอย่างเรื่องแรกก็จบออกไปและเรื่องใหม่เข้ามาต่อเนื่องทันทีแบบไม่ทันได้หายใจ OMG มี sub tile ให้แล้ว ดีใจยังกะถูกหวย แต่ดูดีๆ เฮ้ย!!! sub title อังกฤษนี่หว่า นี่ผมคนไทยนะครับไม่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษมาก่อนทำไมไม่มี sub title ไทยครับ ขอเถอะครับผมขอ sub titleไทย!!!
จบหนังตัวอย่างไปสองเรื่องแล้ว ผมเหมือนนั่งดูแต่ภาพเคลื่อนไหวกับฟังภาษาต่างดาวในดินแดนไทยที่รักยิ่งแห่งนี้
เรื่องถัดมา เซอร์ไพรส์ครับ ไม่ใช่ตัวอย่างหนังแต่เป็นโฆษณาชวนเลิกสูบบุหรี่ครับ อืม!!!ภาษาอินเดียล้วนๆ ที่พอเดาได้ว่าเป็นการชวนเลิกสูบบุหรี่เพราะในโฆษณา มีคนหนุ่มๆคนนึงเป็นน่าจะเป็นพ่อ นั่งดูดบุหรี่ขณะกำลังดูละครหลังข่าวกับสาวน้อยคนนึงที่น่าจะเป็นลูกสาว จากนั้นลูกสาวหันไปทำหน้าเหม็นๆใส่พ่อ พ่อมันเลยหักบุหรี่ทิ้งต่อหน้าลูกแล้วลืมดับก้นบุหรี่ สุดท้ายไฟที่ลืมดับกลายเป็นไฟไหม้บ้านไม่มีตังค์ซื้อบุหรี่ จึงเลิกบุหรี่ (บ้าไม่ใช้อย่างนั้น!!!) ลูกทำหน้าเหม็นๆใส่พ่อแล้วพ่อสงสารลูกที่ได้รับควันบุหรี่เข้าไป เลยเลิกบุหรี่เพราะรักลูก ดูแล้วอย่างซึ้งน้ำแทบไหลครับ
ไม่นานทั้งโรงก็เปลี่ยนเป็นฉากสีขาว พร้อมกับมีอักษรแขกขึ้นเต็มหน้ากระดาน ก็ไม่ทราบจริงๆว่ามันคืออะไร แต่ส่วนตัวเดาว่าคงเป็นใบรับประกันหนังอินเดียว่าหนังเรื่องนี้เป็นอินเดียแท้ๆแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ แม่เจ้า!!!! เป็นความรู้ใหม่ครับ หนังอินเดียแท้ต้องมีใบรับประกันก่อนด้วยหรือเนี่ย หากไม่มีใบรับประกันขึ้นโชว์ที่หน้าจอให้เดินออกจากโรงได้เลย หนังอินเดียปลอมแน่ๆ
จากนั้นหนังเรื่องที่ผมจะดูก็ได้เริ่มขึ้น.....
หน้าจอเต็มไปด้วยผ้าส่าหรีหลากสีสัน กลิ่นน้ำหอมคล้ายกลิ่นเครื่องเทศลอยแตะจมูก โอ้ว!!! ผมนี่คิดเลยครับว่า ผมกำลังดูหนัง 4 มิติหรือเนี่ย แต่ความจริงไม่ใช่ครับเป็นกลิ่นน้ำหอมของแขกที่นั่งหน้าเรา กลิ่นนี่มันช่างหอมระทวยระทมตรมใจจริงคงเอกลักษณ์แห่งความเป็นอินเดียได้ดีจริงๆ
เรานั่งดูกันไปสักพักหนังกำลังสนุก จู่จู่ ภาพก็จะจางหายไป แสงสว่างค่อยๆเข้ามาแทนที่ ชาวต่างชาติ ทั้งหลายในโรงหนังต่างอพยพเคลื่อนย้ายออกไปข้างนอกทีละคนสองคน ผมนี่มองหน้ากับแฟนเลยครับ หนังมันจบแล้วหรือ!!!!!
ผมเลยมองไปที่หน้าจอโรงหนังอีกครั้งเพื่อความมั่นใจมันจบแล้วจริงหรือเปล่า และแล้วความจริงก็กระจ่างครับว่า หนังพักครึ่งครับ โอ้วจอร์ช!!!! มีพักครึ่งให้เราไปเข้าห้องน้ำห้องท่าหาอาหารคาวหวานกินกันเพื่อจะได้เพิ่มความมันส์กันในตอนต่อไป เยี่ยมครับ!!!!
พักได้ประมาณสิบห้านาทีเราก็เริ่มดูหนังกันต่อ หนังก็ดำเนินไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆจนจบ
สำหรับผมนั้น ความรู้สึกประทับใจปนประหลาดใจสำหรับการดูหนังอินเดียในโรงหนังนั้นไม่ได้จบตามหนังเรื่องนี้ลงไปเลย มันกลับยิ่งเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากดูเรื่องต่อๆไปมากขึ้นด้วยซ้ำ